บางครั้ง คนร ว ยกับคนจน นั้น มักมีเส้นบางๆกั้นอยู่เพียงแต่ตัวเรานั้นจะสังเกตหรือรับรู้ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง คนจำนวนไม่น้อยที่รับรู้ถึงข้อแตกต่างระหว่าง คนร ว ยกับคนจน แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ แต่อ ย่ างไรก็ต ามการที่เรานั้นได้รู้ข้อแตกต่างระหว่างคนสองประเภทนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเพราะเราสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อที่จะเริ่มพัฒนาตัวเองให้กล า ยเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่มากก็น้อยอ ย่ างแน่นอน
1. คนร ว ยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย
คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ คนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่ไม่ได้หมายความว่า คนร ว ยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่า คนร ว ยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจน และมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ
มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนร ว ยนั้น มักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจน ซึ่งมักจะชอบซุบซิบนินทาเป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
2. คนร ว ยคิดย าว
คนชั้นกลางคิ ดสั้ น คนจนคิ ดสั้ นที่สุด คนจน มักจะคิดอะไรแบบวันต่อวัน ทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออ ก แต่คนร ว ยจะต้องคิดย าวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอ ดเป็นหลัก
ในขณะที่คนชั้นกลาง คิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนร ว ยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดย าวนั้น
มีพลังมหาศาล เพ ราะมันจะทำให้เขาอ ดออมและลงทุนระยะย าว ซึ่งจะทำให้เงินงอ กเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คน มั่งคั่ง
3. คนร ว ยกล้ารับความเสี่ยง ที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว
คนจนและคนชั้นกลาง กลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อน มากที่สุดของคนจนและคนชั้นกลาง ในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้น มักพลาดที่จะได้รับผลตอบแทนดี ๆ โดยสิ้นเชิง
ส่วนคนที่กล้ารับความเสี่ยง ที่ได้มีการศึกษาวิเคราะห์มาเป็นอ ย่ างดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ โดยความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอ ย่ างที่เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้น มักจะกลัวการลงทุนในหุ้น
หรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคา โดยที่เขาไม่พย าย ามศึกษาว่า ในระยะย าวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่า กว่าการฝากเงินในธนาคารมากในอีกมุมหนึ่ง
คนที่กล้ารับความเสี่ยงอ ย่ างบ้าบิ่น เช่น คนที่เล่นหุ้นวันต่อวัน ก็ไม่ใช่นิสัยของคนร ว ย คนร ว ยนั้นจะต้องรับความเสี่ยง เฉพาะที่มีการพิจารณาอ ย่ างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น
4. คนร ว ยยอมรับการเปลี่ยนแปลง
คนจนและคนชั้นกลาง ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนร ว ยนั้นคิดว่า การเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า
เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้น มักมีโอกาสที่เขาอาจจะคว้าไว้ได้ เบื้องหลังนิสัยนี้ อาจจะมาจากการที่คนร ว ยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลาง ที่มักกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
5. คนร ว ยทำงานเพื่อหากำไร
คนจนและคนชั้นกลาง ทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนร ว ยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้ร ว ยได้มากกว่า แม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น มักจะไม่กล้าเสี่ยง และอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่มีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะร ว ยได้
6. คนร ว ยเรียนรู้และเติบโตตลอ ดชีวิต
คนจนและคนชั้นกลาง คิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียนนิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเ ศ ร ษ ฐีจริง ๆ เพ ราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียน เป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้
และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นย าวมากเป็นหล า ยสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรเกิดขึ้น หลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้คนร ว ยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่าน หรือ การหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ
ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นพอเรียนจบ ก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนจนและคนชั้นกลางพลาดไป เพ ราะไม่มีการสอนในโรงเรียน ก็คือความรู้ทางด้านการเงินที่คนร ว ยมักจะศึกษาต่อ เพ ราะเห็นถึงความสำคัญ และอาจนำไปสู่ความมั่งคั่งได้
7. คนร ว ยมีแหล่งรายได้หลากหล า ย
คนจนและคนชั้นกลาง มีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่งข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนร ว ยมีรายได้จากหล า ยแหล่ง เพร าะร ว ยแล้วจึงไปลงทุนในท รั พ ย์สินหล า ย ๆ อ ย่ าง หรือมีท รั พ ย์สินหล า ยอ ย่ างจึงทำให้ร ว ย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในท รั พ ย์สินที่มีความเสี่ยง ทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
8. คนร ว ยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน
คนจนและคนชั้นกลางคิดว่า พวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญข้อนี้ผมคงไม่มีความเห็นอะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอ กหรือรู้กัน ยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อ ย่ างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกตส์
ความเห็นของแอดมิน สำหรับเมืองไทย แอดคิดว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนใจบุญนะ มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก เพ ราะเราถูกปลูกฝังให้รู้จักทำบุญมาหล า ยชั่ วอายุคนแล้ว จึงไม่เกี่ยวกับความร ว ยความจนหรอ กครับ เป็นนิสัยส่วนบุคคลล้วน ๆ
9. คนร ว ยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ
คนจนและคนชั้นกลาง ชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและบั่นทอนกำลังใจ คนร ว ยมักจะคิดว่า ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อ ย่ างไร ในวิกฤตครั้งนี้มีโอกาสอะไรซ่อนอยู่บ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางมักจะคิดว่า ทำไมเรื่องแย่ ๆ ถึงต้องมาเกิดกับฉันด้วย โอกาสของคนเราไม่เท่ากัน เป็นเพ ราะฉันเกิดมาจน ฯลฯ
10. คนร ว ยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่ง
คนจนและคนชั้นกลาง เน้นการเพิ่มของเงินเดือนเป้าหมายของคนร ว ยนั้นอยู่ที่ว่า ตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น มากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น โดยที่เขาไม่ต้องเ สี ยภาษี
แต่คนชั้นกลางพย าย ามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้น แต่เขาอาจจะลืมไปว่า เขาจะต้องเ สี ยภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนร ว ยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อ ระหว่างคนร ว ย คนจน และคนชั้นกลาง ที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริงแน่นอน คนร ว ยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวน มากก็มีนิสัยแบบคนร ว ย แต่ถ้าเราอย ากร ว ย ผมคิดว่าการยึดนิสัยแบบคนร ว ย น่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า
ที่มา 360scopenew