วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเรียนรู้ข้อคิดของการใช้ชีวิตทำงาน ไม่ตรงสาย กับบทความ 7 ข้อคิด เรียนจบแล้ว ทำงานไม่ตรงสาย ก็อย่ าไปเสียดายวุฒิ ไปดูกันว่ามีเรื่องราวอะไรบ้างที่ทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายวุฒิ แม้จะทำงานไม่ตรงสาย
ตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หล า ยคนต่างเชื่อเสมอว่าถ้าได้ตั้งใจเรียน สอบติดคณะที่ใช่ยิ่งมีโอกาสได้งานที่ดี เงินเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพที่ใครก็รู้จักเช่น ข้าราชการ, วิศวกร นักธุรกิจยิ่งน่าภูมิใจไปใหญ่ เพราะนอ กจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีจำนวน มากพอที่จะจุนเจือครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้สุขสบายยังเป็นอาชีพที่ถือว่า ‘มีหน้ามีต า’ ใครก็ต้อนรับกันหมด แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว อาชีพที่ ‘มีหน้ามีต า’ ในสังคม ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป
และในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ ! ‘แล้วจะเรียนไปทำไม ถ้าสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ เงินเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไร ?’คำถามนี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากเลยเพราะมันเต็มไปด้วยความคาดหวังที่คิดว่า
‘เรามีทางเลือ กอยู่ไม่กี่อย่ างในชีวิต’ แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นความคิด ‘ฉันทำงานอะไรก็ได้ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ต าม’ มันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายต าบางคนแต่ถ้าคิด ๆ ดูแล้ว มันได้ความสบายใจ เยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรกเพราะความเป็นจริงของชีวิตคือ
1 มนุษย์ทุกคน มีความสามารถในตัวเอง ‘แตกต่าง’ กันไปเราไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกันหมด
2 แม้แต่ในคนเดียวกัน ยังมีความสามารถที่หลากหล า ย เช่น…เป็น ห ม อ แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง ทำ อ า ห า ร เก่ง เป็นศิลปินแต่ก็คำนวณเก่ง ขับรถเก่ง
3 สิ่งที่เรา ‘เก่ง’ ไม่จำเป็นต้องออ กมาในรูปแบบวิช าชีพเช่น…
ห ม อ, วิศวกร, พ ย า บ า ล มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ที่เราเอาจริงกับมัน เช่น… การทำ อ า ห า รการจัดสวน, การออ กแบบ ( ไม่อย่ างงั้น เราคงไม่เห็นนักธุรกิจหน้าใหม่หล า ยคนผุดขึ้นเป็นดอ กเห็ดหรอ ก )
4 มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งต ามหาสิ่งที่ ‘ใช่’
ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับตัวไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในตอนนี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุดสิ่งที่เราเก่งในตอนนี้ ในวันข้างหน้า มันอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำ เพราะอาจมีหล า ยปัจจัยให้คิดมากขึ้น เช่น จำเป็นต้องพับโครงการเรียนต่อเอาไว้เพราะเงินไม่พอจำเป็นต้องทำงานหาเงินก่อน แล้วค่อยไปเรียนศิลปะที่เราชอบ …เราต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย ( ความจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง )
5 สิ่งที่เราเรียน มาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิช า มันคือ ‘การหล่อหลอม’ หล า ยวิช าไม่ได้
สอนเราทางตรง แต่ให้เราค่อย ๆ ซึมซับข้อ ดีแต่อย่ างไปเอง เช่น ฝึกความอ ดทน, ฝึกความประณีต,ฝึกทักษะการเข้าสังคมในครั้งหนึ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย มันก็ต้องมี บ้ า งแหละที่เรานึกอะไรขึ้น มาจนต้องไปหา อ่ า น ปัดฝุ่นตำราอีกครั้งทุกความรู้ที่เราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกดูให้ดีสิ !
6 ในรั้วโรงเรียน – ม ห า วิ ท ย า ลั ยต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน
ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังต้องรู้เห็นอีกมากเรียนรู้กันอีก ย า ว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะดังนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียน มาสายวิทย์ต้องทำงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป
7 มนุษย์เราควรมีทางเลือ กให้กับชีวิตไว้หล า ยด้าน หรือ ‘มีแผนสำรอง’
เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองจนเกินไป เช่น ถ้าวุฒิที่เราเรียน มามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้หางานไปก่อน?ถ้าเราไม่ได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆ ก่อน? ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ดั่งใจในทันทีมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่ต้องแลกกับความเหนื่อยความ พ ย า ย า ม หล า ยเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่ างใดหากจะพบว่าทำไม ห ม อ
บางคนถึงแต่งเพลงได้?
ทำไมบางคนเรียนวิช าชีพแต่มาเป็นศิลปิน?ทำไมบางคนเรียนไม่จบแต่ประสบความสำเร็จ?ถ้ายังไม่เข้าในในข้อนี้ ลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 6 อีกรอบขึ้นชื่อว่า ‘ความรู้’ เราได้รับมาถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า ‘ความฝัน’ ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้
ใช่ว่าวันหน้าจะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วน ๆ ว่า… ‘รู้ตัวดีหรือไม่ว่าทำอะไรอยู่?’ และ ‘พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า?’อย่ าลืมว่า…โลกเรากลม และมีหล า ยมิติ ใช่ว่าจะต้องมองเพียงด้านเดียว
ที่มา ทำ ใ จ, yimlamun