วันนี้เราอย ากที่จะพาทุกคนๆ ที่กำลังรู้เหมือนตัวเองกำลังไม่มีคุณค่า เราอย ากที่จะแนะนำบทความ 9 วิ ธีหันกลับมารักตัวเอง เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองสู้เส้นทางชีวิตดีมีความสุข ไปดูกันว่าการหัดกลับมารักตัวเองนั้นจะเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองได้อย่ างไร
1 อย่ าคิดว่า ตัวเองคือจุดศูนย์กลางของทุกเรื่อง
การมองจากมุมของการให้ความสำคัญกับตนเองเป็นหลักผลที่ต ามมาคือ การกล่าวโทษคนอื่น ๆ ทั้งที่ตัวเราเองผิดหรือไม่ดีทำให้ทำแต่ในเรื่องที่ตัวเราเองได้ประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสีย ที่ผู้อื่นจะได้รับ การกระทำแบบนี้ คือ การเห็นแก่ตัว ที่มาจาก Self Deception กล่าวคือมีทัศนคติที่เป็น Inward Mindset ผลที่ต ามมา ก็คือ เป็นคนที่ข า ดความสุข
ชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะอะไรที่ทำผิด ทำไม่ดี ไม่เคยยอมรับ เอาแต่โทษคนอื่น ทำแบบนี้ ก็จะไม่เกิดการเรียนรู้และการแก้ไขสุดท้ายชีวิตก็ต้องจมอยู่กับความทุ ก ข์ด้วยเพราะการหลอ กตนเอง ทัศนคติแบบ Outward Mindset คือมองและให้ความสำคัญกับคนอื่น เท่า ๆกับตัวเราจะทำให้ การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นง่ายขึ้น ที่สำคัญ เราเองจะมีความสุขมากขึ้นและเป็นที่รักต่อคนรอบข้างมากขึ้นเช่นกัน Outward Mindset ถือเป็นอีกหนึ่งอาวุธทางจิตใจที่ทำให้คนทำงานก้าวข้ามทัศนคติที่เป็นลบไปได้
2 อย่ าหักโหมทำงานหนัก จนลืมดูแลรั ก ษ าสุขภาพของตัวเอง
บริษัทเขาคงไม่เสียใจ หรือเสียดาย จากการห า ยไปของเราอย่ างแน่นอน อย่ างมากเขาก็คงส่ งพวงหรีด และเงินค่าช่วยเหลือทำพิธีให้ ถ้าเราทำงานจนล้มป่ ว ย หรืออาจจะต้องจากไปในอีกไม่กี่วัน หลังจากนั้นบริษัทก็จะหาคนใหม่มาแทนที่เราได้ในไม่ช้า แต่การสูญเสียของเรามันกระทบต่อคนในครอบครัวมาก บางคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว การจากไปของเขากลับกล า ยเป็นการทิ้งภาระมากมายมหาศาลเอาไว้ให้กับครอบครัว
เช่น ห นี้สิน หรือ การข า ดรายได้ ดังนั้นจงอย่ าคิดว่า บริษัทจะตกที่นั่งลำบากถ้าไม่มีเรา คนที่ลำบากคือคนในครอบครัวของเราต่างหาก จงอย่ าหักโหมจนต้องล้มป่ ว ย ทำงานให้เต็มที่และดีที่สุดก็น่าจะเพียงพอแล้ว
3 อย่ ากลัว อย่ าหนีปัญหา หรือหนีในสิ่งที่ไม่ชอบ
โบราณเขาว่าเอาไว้ ‘ยิ่งหนี ยิ่งเ ก ลี ย ด ยิ่งเจอ’ แน่นอนว่าการทำงานย่อมต้องเจอ กับปัญหาและอุปสรรค ถือเป็นเรื่องปกติ คนที่หลีกเลี่ยงปัญหาหรืออุปสรรคในตอนนี้อาจจะต้องเจอ กับปัญหาหรืออุปสรรคที่ใหญ่ขึ้น ซับซ้อน มากขึ้น และย ากขึ้นแน่นอนในวันหน้าปัญหาและอุปสรรค ที่ผ่านเข้ามา มันก็คล้าย ๆ กับเราเล่นเกม
แต่เป็นเกมชีวิตที่เราต้องฝ่าฟันผ่านด่านแต่ละด่านไปให้ได้ เมื่อผ่านเรื่องปัญหาเล็ก ๆ หรืออุปสรรคเล็ก ๆ ไปได้ ด่านถัดไปเราจะมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และ จะสามารถต่อสู้กับเรื่องที่ย ากขึ้นได้อย่ างสบาย ดังนั้นอย่ าเพิ่งหนีสิ่งที่เรากำลังเจออยู่ อาจจะมีคนอีกมากมายที่เขาผ่าน มาได้แล้ว จงหาคนเหล่านั้นไปเรียนรู้วิธีการ และแนวทางของเขาดู จะทำให้เราหาทางผ่านพ้นปัญหา และอุปสรรคของเราไปได้ง่ายขึ้น
4 อย่ ากลัวกับการเปลี่ยนแปลง
ในยุคนี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งในแง่บวกและแง่ลบอย่ างรวดเร็วมากหล า ย ๆ บริษัทที่เคยใหญ่โต และมั่นคงมาย าวนานกว่า 20-30 ปี กลับล้มลงไม่เป็นท่า หล า ยแห่งปิดตัวลงไปก็มีเยอะ แต่ก็มีอีกหล า ยบริษัทเช่นกัน ที่ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงได้ไว เช่น บางบริษัทเพิ่งจะตั้งไข่ได้ไม่กี่ปีก็สามารถเติบโตเคียงข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอายุกว่า 40-50 ปี
ได้พวกเราก็เหมือนบริษัทถ้าเราเพิกเฉย เมินเฉยต่อ การเปลี่ยนแปลง หรือไม่ใส่ใจที่จะพัฒนาตนเองในไม่ช้าเราก็จะถูกเปลี่ยนแปลงอย่ างแน่นอนเพราะในแต่ละปี จำนวนพนักงานที่ถูกทดแทนโดยเครื่องจักรและ AI มีจำนวนสูงขึ้นทุกปี และการปลดพนักงานออ กมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยถ้าเรารอ หรือไม่กล้าที่จะเปลี่ยนหรือไม่พัฒนาตนเอง อีกไม่นานก็คงจะถูกระบบ หรือเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่และในท้ายที่สุด โอกาสในการหางานทำ ก็แทบจะเป็นศูนย์
5 อย่ ากังวล หรือใส่ใจกับทุกคำพูด
หรือทุกสายต าของคนรอบข้างมากจนเกินไป ยุคที่คนส่วน มากให้ความสำคัญกับเปลือ กมากกว่าคุณค่าที่แท้จริงของคน คนเลือ กที่จะใช้ชีวิตเพื่อให้คนรอบข้างพอใจ และเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญการทำแบบนี้ จะทำให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองและยังติดนิสัยสร้างภาพ หลอ กลวงคนอื่นไม่พอยังหลอ กลวงและปิดบังความไม่มั่นใจของตนเองเอาไว้ ไม่ให้คนอื่น ๆ เห็นอีกด้วย
ยิ่งทำ ยิ่งเป็นทุ ก ข์ยิ่งทำ ยิ่งสูญเสียตัวตนสุดท้ายไม่รู้ว่าใช้ชีวิตทุกวันนี้ เพื่อคนอื่น หรือเพื่อตัวเองกันแน่ ดังนั้นอย่ าใส่ใจกับทุกสายต า หรือคำพูดของคนอื่น มากจนเกินไปควรไตร่ตรองเลือ กใส่ใจกับข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่สามารถนำไปปรับปรุง และมีประโยชน์ต่อ การทำงานหรือ การดำเนินชีวิตจะดีกว่า ป่ ว ยกายรั ก ษ าได้ ป่ ว ยทางจิตใจ ย ากที่จะรั ก ษ า และอาจจะนำพาชีวิตพังได้
6 อย่ าทำงานแค่พอผ่าน
เพราะงานของเรา คือภาพพจน์ของเราที่คนอื่น ๆ มองเห็น มันก็ใช่ ที่ว่า บางวันเราอาจจะเหนื่อยบางวันเราอาจจะเซ็งเจ้านาย บางวันเราอาจจะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่ควรเอาเรื่องเหล่านั้นไปลงกับผลงานที่เรากำลังจะทำหรือต้องทำ เพราะการทำงานด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน หรืออารมณ์ที่ขุ่น มัว ยิ่งจะทำให้งานออ กมาแย่หรือเสียห า ยได้
ชิ้นงานแต่ละงานที่ผ่าน มือเรา ไม่ว่าจะเป็นงานง่าย งานเล็ก ๆหรือ งานใหญ่ ๆ เราล้วนต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับทุกงานทั้งสิ้นเพราะทุกชิ้นงานที่ทำโดยเราคนอื่นเขามองออ ก เขาสามารถรู้ได้ว่า เราทำด้วยความตั้งใจ และเต็มที่กับมันหรือเปล่า ภาพลักษณ์ภายนอ กแค่หน้าต าหรือ การแต่งกายสำคัญก็จริง แต่ภาพลักษณ์จากผลงานที่เราทำนั้นสำคัญยิ่งกว่า
7 อย่ ากลัวที่จะผิดพลาด
เพราะทุกคนล้วน มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น ที่จริงแล้วความผิดพลาด คือสิ่งที่ดีเพราะความผิดพลาดที่เราก่อขึ้น คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่า เราได้ลองลงมือทำแล้วและการสรุปว่ามันไม่เวิร์คด้วยมุมมองแบบนี้จะทำให้เกิดการคิดสร้างสรรค์ และหาหนทางใหม่ในการลองทำอีก ลองทำไป ลองผิดบ้างลองถูกบ้าง เดี๋ยวจะเจอทางที่ใช่เอง กระบวนการนี้เปรียบเสมือนเรากำลังทำ
ออ กแบบหาวิธีการ เข้าไปในการลงมือปฏิบัติถ้าเราไม่กลัวผิดพลาด เราก็จะได้ฝึกสองเรื่องนี้ไปแบบเนียน ๆ และที่สำคัญ ทักษะสองอย่ างนี้ คือ ทักษะที่สำคัญและทำมาหากินได้ง่ายมากในยุคนี้และยุคหน้า ดังนั้น จงพลาดให้มาก จงเรียนรู้จากสิ่งที่พลาดให้เยอะทุกอย่ างคือ การลงทุน และเป็นประสบการณ์ที่คืนทุน และมีกำไรมหาศาลให้กับเราในอนาคตได้อย่ างแน่นอน
8 อย่ ากลัวกับการเริ่มต้นใหม่
ความเคยชิน ความสบาย มันน่ากลัว ซึ่งหล า ยคนเลือ กเดินทางนี้เพราะรู้สึกว่าปลอ ดภั ย แต่หารู้ไม่ว่า ในโลกของการทำงานยุคนี้ ความปลอ ดภั ยในหน้าที่การงานไม่มีจริงอีกต่อไปแล้วงานที่ทำ ๆ กันอยู่ วันนี้พรุ่งนี้อาจจะไม่มีแล้วก็ได้ เรื่องของความเคยชิน ความสบาย ถ้าเสพติดมันอยู่นานเกินไปมันจะทำให้เราตกหลุมเข้าไปอยู่ในกล่องใบเล็ก กล่องที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะมอง หรือคิดเพื่อที่จะเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ ๆที่สำคัญ
สิ่งใหม่ ๆ อาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่ างที่เราคิดหรือ กังวล มองสิ่งใหม่คือ เรื่องท้าทาย และ ให้เรื่องท้าทายนี้ ถูกจัดการด้วยมันสมองและความสามารถของเราดีกว่า ถ้าเราคิดแบบนี้และทำแบบนี้ได้ การเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ ๆ เราก็จะไม่กังวล เผลอ ๆ ทำได้ดีกว่าที่คิดอีกด้วยผลลัพธ์ของการทำในสิ่งใหม่ ๆ บ่อย ๆ จะทำให้เราได้เจอ กับโอกาสใหม่ ๆ เพื่อนกลุ่มใหม่ ๆหรือได้งานใหม่ที่ง่ายยิ่งขึ้น
9 อย่ าหยุดที่จะเรียนรู้
คนที่หยุดเรียนรู้ เท่ากับว่า เขาได้ทำล า ยอนาคต และอาชีพของเขาไปเรียบร้อยแล้วยิ่งตอนนี้ ความรู้มีการ update ตลอ ดเวลาถ้าเราจะก้าวให้ทันกระแสการเปลี่ยนแปลง หรืออย ากจะอยู่แนวหน้าในสายอาชีพของเราเรายิ่งต้องไขว่คว้าหาความรู้เหล่านั้นทันที Lifelong Learning คือ การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ก็ต าม ไม่มีใครแก่เกินเรียน
และไม่มีใครเด็กจนจะเรียนเรื่องย าก ๆ ไม่ได้ เรียนเถอะครับ แต่เราก็ต้องรู้ว่า เรียนเรื่องอะไร เกี่ยวกับงานเราไหมเราจะใช้ประโยชน์จากที่เรียนนั้นอย่ างไรไม่มีใครมีชีวิตที่แย่ลงจากการเรียนรู้ แต่คนที่เขาแย่ลง เกิดจากการเรียนไป แต่ไม่รู้จะเอาไปใช้อย่ างไรมากกว่า ขอให้เดือนนี้ เป็นเดือนแห่งความทรงจำ ที่สุดอีกเดือนนึงของทุกท่านนะครับ ขอบคุณ…
ที่มา forlifeth