พ่อแม่ทุกคนก็หวังอย ากเห็นลูกเป็นคนดี เป็นคนเก่ง พึ่งตัวเองได้ การเลี้ยงลูก ให้ประสบความสำเร็จ ที่เราจะมาทำความเข้าใจกันในครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จของลูก แต่เป็นการประสบความสำเร็จในวิ ธีการเลี้ยงลูกของแม่
ที่ต้องบอ กว่าแม่แต่ละคนก็มีวิ ธีเลี้ยงลูกแตกต่างกันไป ถามว่าวิ ธีของแม่แต่ละคนผิ ดไหมในการเลี้ยงลูก ไม่ผิ ดค่ะ เพราะเชื่อว่าคนเป็นแม่ย่อมรู้ดีที่สุดว่าอะไรเหมาะ และใช่ที่สุดกับเราและลูกของเราเอง
พ่อแม่ส่วนใหญ่เคยผ่านความลำบากมาก่อน จึงไม่อย ากให้ลูกต้องพบเจอ กับความลำบากเหมือนตัวเองเจอมา จึงพย าย ามเลี้ยงลูกให้ได้รับความสบายมากที่สุด อย ากได้อะไรก็หาให้หมด จนทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ต้องพย าย ามอะไรก็ได้ทุกอ ย่ างที่ต้องการมาแล้วซึ่งการเลี้ยงลูกแบบนี้
จะส่งผลในระยะย าวและกล า ยเป็นปัญหา ให้ลูกเองเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ กล า ยเป็น โ ร ค ไม่รู้จักความลำบาก ดังนั้นหากพ่อแม่รักลูกจริงๆ ต้องขี้เ กี ย จใน 3 เรื่องนี้
1. ขี้เ กี ย จช่วยลูกทำการบ้ าน
คุณแม่ท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่า เธอไม่เคยสอนหรือช่วยทำการบ้ านให้ลูกของเธอเลย แม่จะบอ กลูกแค่ว่า ให้ทำการบ้ านเวลาไหน ควรทำเวลาไหน แล้วก็ไล่ให้ลูกไปทำ พอทำเสร็จก็ค่อยบอ กแม่ และเธอก็จะไม่ตรวจสอบว่าลูกทำถูกต้องหรือไม่ เพราะการตรวจสอบนั้น มันเป็นหน้าที่ของลูก หรือให้รู้ว่าถูกผิ ด
จากที่โรงเรียน คุณแม่แค่เซ็นชื่อให้เท่านั้นเองช่วงแรกๆลูกของเธอก็แสดงอาการไม่พอใจ และพูดว่า ทำไมแม่ถึงขี้เ กี ย จแบบนี้ แม่คนอื่นเขาช่วยตรวจการบ้ าน ให้ลูกกันทั้งนั้น เธอจึงตอบลูกไปว่า ที่แม่ไม่ตรวจการบ้ านลูก ไม่ใช่เพราะแม่ขี้เ กี ย จหรอ กนะ แต่ลูกลองคิดดูสิ ถ้าแม่ตรวจให้ แล้วลูกจะรู้ได้ไงว่าตัวเองทำผิ ดตรงไหน
แล้วตอนสอบเวลาลูกทำผิ ด จะรู้ไหมว่าผิ ดตรงไหน ลูกต้องฝึกตรวจความถูกต้องด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะในห้องสอบไม่มีใครช่วยลูกตรวจได้ จำไว้นะลูกว่า ตอนลูกอยู่ในโรงเรียน ลูกจะได้รับบทเรียนก่อน แล้วถึงได้ทำข้ อสอบ แต่สำหรับในโลกความจริงลูกจะต้องเจอบททดสอบก่อน ถึงจะได้บทเรียนการที่เธอขี้เ กี ย จ
สอนการบ้ าน หรือช่วยลูกทำการบ้ าน ทำให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเองได้มากที่สุด ลูกจะได้รู้จักพึ่งพาตัวเอง ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ หากคิดไม่ออ ก หรือทำไม่ได้ ค่อยมาขอคำแนะนำจากแม่ได้
ผลปรากฎว่า สำหรับพ่อแม่ที่มีนิสัยขี้เ กี ย จตีกรอบความคิดให้ลูก แต่ปล่อยให้ลูกคิดเองอ ย่ างอิสระ หรือทำทุกอ ย่ างด้วยการตัดสินใจของตัวเองได้อ ย่ างอิสระ แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังให้ความสนใจลูกและคอยดูอยู่ห่างๆ จะทำให้ลูสามารถเผชิญกับปัญหาได้ดี เขาจะมีภูมิคุ้มกัน มีปีกที่แข็งแ ร งพอ และอยู่ได้ด้วยตัวเอง แม้วันหนึ่งคุณจะไม่ได้อยู่ปกป้องเขาแล้วก็ต าม
2. ขี้เ กี ย จขยับมือ สอนให้ลูกเรียนรู้จักพึ่งพาตนเอง
พ่อแม่ต้องขี้เ กี ย จต ามเก็บกวาดให้ลูกทุกอ ย่ าง ควรปล่อยให้เขารู้จักพึ่งพาตัวเองบ้ าง บางสิ่งที่ลูกสามารถทำเองได้ ไม่จำเป็นต้องยื่น มือเข้าไปช่วยทุกครั้งไป เช่น ห้องนอนลูกที่ดูไม่เป็นระเบียบ แค่เตือนให้เขารู้ตัวว่าต้องทำ แต่ไม่ต้องไปทำให้ลูกเราควรจะเน้นไปที่การสอนให้ลูกดูแลความสะอาด บริเวณพื้นที่ส่วนรวมของบ้ าน
เช่น ห้องรับแขก ห้องรับประทานอ าห า ร และเมื่อลูกเห็นว่าพื้นที่อื่นในบ้ านสะอาด เขาจะรู้สึกว่า เขาต้องทำความสะอาดห้องนอนตัวเองให้สะอาดเหมือนกัน ผลปรากฎว่า เมื่อพ่อแม่ขี้เ กี ย จช่วยเหลือลูกในบางเรื่อง
ส่งผลให้ลูกฝึกทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากขึ้น และเป็นการฝึกนิสัยพึ่งพาตัวเอง มีความรับผิ ดชอบต่อ สิ่งรอบตัว และจะทำให้ลูกมีความรับผิ ดชอบต่อตัวเองมากขึ้น เมื่อเขาโตไปจะกล า ยเป็นคนที่สามารถรับผิ ดชอบได้ดี รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
3. ขี้เ กี ย จบ่น ให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ในหล า ยครอบครัว คนเป็นพ่อเป็นแม่ มักจะตั้งความหวังไปที่ลูกมากจนเกินไป จนทำให้ลูกอึดอัดและกดดัน กล า ยเป็นไม่สนใจและไม่อย ากฟังสิ่งที่เราจะพูด แต่สำหรับครอบครัวนี้ เขากลับใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ในการชวนลูกมาเล่นเกม และไม่ต้องทำการบ้ านโดยคุณแม่จะถามว่า ลูกกะจะเล่นเกมถึงกี่โมง
ลูกตอบว่า ขอเล่นอีก 30 นาที แม่ตอบกลับไปว่า โอเค ต้อง รั ก ษ า คำพูดนะ เมื่อถึงเวลา 30 นาที แม่เดินกลับมาดู และยังเห็นลูกเล่นเกมอยู่ คุณแม่ก็รู้สึก ไม่พอใจ แต่ยังสงบอารมณ์ได้ และพูดกับลูกอ ย่ างใจเย็นว่า ปกติลูกเป็นคน รั ก ษ าคำพูดไม่ใช่หรอ เมื่อลูกได้ฟังคำพูดของแม่ ก็เริ่มรู้สึดผิ ดต่อสิ่งที่ทำ
และเดินไปปิดสวิทช์ และ รีบไปทำการบ้ านทันทีนี่เป็นสาเหตุมาจาก การเป็นคนน่าเชื่อถือ ของคุณแม่ท่านนี้ เพราะเวลาคุณแม่รับปากอะไรกับลูกไว้ เธอก็จะ ทำต ามนั้นได้เป๊ะๆ ไม่เคยผิ ดคำพูดกับลูก เช่น จะพาลูกไปเที่ยว จะซื้ อของเล่นให้ เธอก็ทำต ามคำพูดได้ทุกครั้งมันแสดงให้เห็นว่า คุณแม่ท่านนี้เป็นคนที่ให้ความ
สำคัญกับการ รั ก ษ า คำพูดเป็นอ ย่ างมาก เมื่อรับปากอะไรไว้ ก็ต้องทำให้ได้ และสอนลูกให้รู้จักรับผิ ดชอบต่อคำพูดของตัวเอง แล้วคำพูดก็เลยดูศักดิ์สิทธิ์ ผลปรากฎว่า พ่อแม่ที่ไม่บ่นเรื่อนเ ปื่ อ ย แต่ใช้วิ ธีปลูกฝังจิตสำนึกให้ลูกแทน ใช้เหตุผลในการคุยกับลูกมากกว่าอารมณ์ สอนให้ลูกรู้จัก รั ก ษ า คำพูดของตัวเอง
และทำต ามที่พูดไว้อ ย่ างเคร่งครัด ทำให้ลูกให้ความสำคัญกับคำพูดมาก โดยที่เราไม่ต้องไปบ่นให้เขามากมาย เขาสามารถสำนึกและคิดได้เอง ถ้าอย ากให้ลูกช่วยเหลือตัวเองเป็น ให้ลูกได้ลองลงมือปฎิบัติ
ถ้าอย ากให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็น ให้ฝึกถามเพื่อให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็น ถ้าอย ากให้ลูกมีวินัย พ่อแม่ต้องรู้จัก รั ก ษ า คำพูด ถ้าอย ากให้ลูกพูดเพราะ และ มีมารย าท ต้องทำให้ลูกเห็นทุกวัน
บางคน มักจะรักลูกแบบผิ ดๆ ไม่อย ากให้ลูกต้องลำบาก จึงไม่ยอมให้ลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง จนลูกกล า ยเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่เป็น ลูกมีหน้าที่เรียนก็เรียน อ ย่ างเดียว แต่ในชีวิตจริง ความรู้ในตำราอ ย่ างเดียวก็ใช้ไม่ได้ ต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตในการเอาตัวรอ ดด้วยไม่ว่าคุณจะร ว ยแค่ไหน มีเงินเหลือมากพอที่จะทำให้
ลูกสุขสบายไปทั้งชีวิต แต่ถ้าไม่สอนให้เขาเติบโตได้เองอ ย่ างเข็มแข็ง เขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจงสอนให้เขารู้จักความลำบาก และเรียนรู้ การแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิ ดชอบต่อตนเอง และ ต่อสังคมให้ได้
ที่มา bitcoretech amarinbabyandkids fahhsai